บทที่2
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อต่างๆดังนี้
1. การค้าประเวณีคือ
2. หญิงที่ค้าประเวณีเรียกอีกอย่างว่า
3. ประวัติของการค้าประเวณี
4. คำว่ากระหรี่มีความสอดคล้ององกับผู้หญิงค้าประเวณีอย่างไร
5. ลักษณะการหาเลี้ยงชีพของผู้ที่ค้าประเวณี
6. วิธีการค้าประเวณี
7. กฎหมายของผู้ที่ค้าประเวณี
8. การค้าประเวณีในประเทศไทยเรา
9 .ข้อดีของผู้ที่ค้าประเวณี
10. ข้อเสียของผู้ที่ค้าประเวณี
1.การค้าประเวณีคือ
กระทำการใด ๆ
เพื่อสำเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อน
เพื่อสินจ้างหรือประโชน์อื่น
2.หญิงที่ค้าประเวณีเรียกอีกอย่างว่า
หญิงค้าประเวณีนั้นเรียกอีกย่างว่า นครโสเภณี แปลว่า
"หญิงงามเมือง" (โสเภณี แปลว่า หญิงงาม) และมักตัดไปเรียกว่า
"โสเภณี" เฉย ๆ ภาษาถิ่นอีสานเรียก "หญิงแม่จ้าง" ภาษาปากเรียก "กะหรี่", "หญิงหากิน" หรือ
"อีตัว" เป็นต้น
ภาพที่ 2.1 ผู้หญิงบริการในตู้กระจก
3.ประวัติของการค้าประเวณี
ในสมัยดึกดำบรรพ์
หญิงโสเภณีไม่มีราคาหรือไม่ถือว่าต่ำช้า เพราะในสมัยนั้นไม่ถือธรรมเนียมหรือคุณค่าทางพรหมจารี การสมสู่เป็นไปโดยเสรีและสะดวก
ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่า ชาวสลาฟโบราณถือว่า
หญิงดีมีค่านั้นจะต้องมีชายรักใคร่เสน่หาร่วมประเวณีมาก่อนสมรส
ถ้าสามีตรวจพบว่าภริยาของตนมีพรหมจารีที่ยังไม่ถูกทำลายก็มักไม่พอใจ
บางรายถึงขนาดขับไล่ไสส่งภริยาไปก็มี
เนื่องจากอุดมคติในเรื่องพรหมจารีมีอยู่เช่นนี้
จึงทำให้ผู้หญิงบางหมู่แสวงหาเครื่องหมายจากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของชายคู่รักเพื่อเก็บไว้อวดชายที่มาเป็นสามี
เมื่อเสรีภาพในการร่วมประเวณีมีอยู่เช่นนั้น
หญิงโสเภณีในยุคแรกเริ่มเดิมทีก็นับว่าไม่มี จากการศึกษาพบว่า
หญิงโสเภณีมีกำเนิดมาจากพิธีการทางศาสนา ปฏิบัติกันอยู่ในเอเชียตะวันตกเป็นส่วนใหญ่
คือหญิงสาวจะต้องกระทำพิธีสละพรหมจารีของตนเพื่อบูชาเทวีผู้ซึ่งมีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
เช่น ของอินเดียได้แก่พิธีบูชาพระแม่กาลีซึ่งบางทีก็เรียก "ทุรคาบูชา" (ฮินดี: Durgapuja) พิธีเช่นว่านี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าผู้หญิงมีความรู้สึกฝังใจอยู่กับชายคนแรกที่เธอร่วมประเวณีด้วย
การสละพรหมจารีดังกล่าวจึงกระทำเพื่อบูชาเทวีเบื้องบนเสีย
และชายผู้ร่วมประเวณีด้วยนั้นก็มักจะเป็นแขกแปลกหน้าที่หญิงนั้นไม่รู้จัก
โดยถือกันว่าชายแปลกถิ่นเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะนำโชคลาภมาสู่ตน การสละพรหมจารีด้วยการร่วมประเวณีกับชายแปลกหน้านั้นบางแห่งก็มีสิ่งตอบแทน
หญิงชาวบาบิโลนโบราณพากันมานั่งคอยชาวแปลกหน้าในวิหารเจ้าแม่อิชตาร์(Ishtar) เพื่อเข้าสู่พิธีสละพรหมจารีกับชายแปลกหน้า
ถ้าชายพึงใจในหญิงคนใดก็จะโยนเหรียญมาที่ตักของเธอ
หญิงที่ได้รับเหรียญจะต้องลุกตามเขาไปทันทีเพื่อประกอบพิธี
โดยไม่ว่าเงินที่ชายโยนให้นั้นจะมากน้อยเพียงไร
เมื่อได้พลีพรหมจารีแล้วก็เป็นอันหมดหน้าที่ หญิงนั้นจะได้กลับไปบ้านเมืองและครองชีวิตอย่างมีเกียรติพร้อมกับตั้งหน้าคอยโชคลาภต่อไป
หญิงที่รูปไม่งามอาจต้องนั่งรอชายแปลกหน้าเป็นเวลาหลายปี ภาพล้อเลียนทางการเมืองแสดงสภาพโสเภณีในสังคมตะวันตกโบราณ
ชื่อ "การขึ้นภาษีร้านค้าไม่ได้กระทบกระเทือนผู้ค้าปลีกศิลปะตะวันตก พ.ศ. 2330 บางท้องที่ก็มีพิธีกรรมทางโสเภณีเพื่อการศาสนา
เช่น นักบวชหญิงร่วมกันจัดพิธีกรรมต่าง ๆ
ทางโสเภณีซึ่งถือว่าเป็นการพลีกายเพื่อศาสนา
เงินที่ได้จากพิธีกรรมทางเพศดังกล่าวจะส่งเข้าบำรุงศาสนา บางแห่งหญิงสาวต้องไปวัดเพื่อขอให้นักบวชชายเบิกพรหมจารีให้
โดยถือว่านักบวชเป็นตัวแทนของพระเจ้า บางแห่งหญิงสาวอุทิศตนเป็นนางบำเรอประจำวัด เพื่อร้องรำทำเพลงบำเรอพวกนักบวชและพวกธุดงค์ที่มาสักการะเทพเจ้าในสำนักตน
ทั้งหมดนี้เป็นจุดกำเนิดของหญิงโสเภณีในปัจจุบัน
แต่โสเภณีทางศาสนาดังกล่าวมาแล้วกระทำในคลองจารีตประเพณีของศาสนา
ไม่อื้ออึงหรืออุจาดนัก ต่อมาเกิดมีธรรมเนียมใหม่คือ
หญิงสาวหันมาเป็นโสเภณีเพื่อสะสมทุนทรัพย์สำหรับสมรส
ชายที่สมสู่ไม่ต้องวางเงินบนแท่นบูชาแต่ให้ใส่ลงในเสื้อของหญิง
ภายหลังหาเงินได้สองสามปีก็จะกลับบ้านเพื่อแต่งงาน
และถือกันว่าหญิงที่ได้ผ่านการเป็นโสเภณีมาแล้วเป็นแบบอย่างของเมียและแม่ที่ดี
การปฏิบัติของหญิงโสเภณีประเภทหลังนี้ บางคนก็กระทำไปโดยมิได้เกี่ยวข้องกับพิธีทางศาสนาเลย ครั้นกาลเวลาล่วงมา อารยธรรมในทางวัตถุนิยมเพิ่มมากขึ้น การโสเภณีทางศาสนาค่อยเลือนลางจางไป
โดยมีโสเภณีทางโลกเข้ามาแทนที่ โรงหญิงโสเภณีโรงแรกจึงถือกำเนิดขึ้นที่กรุงเอเธนส์ โดยเป็นโรงหญิงโสเภณีสาธารณะ
เก็บเงินรายได้บำรุงการกุศล ผู้จัดตั้งชื่อ "โซลอน" (Solon) เป็นนักกฎหมายและนักปฏิรูป
วัตถุประสงค์ในการตั้งโรงหญิงโสเภณีดังกล่าวมีสองประการ คือ
1. เพื่อคุ้มครองอารักขาความบริสุทธิ์ให้แก่ครอบครัวของประชาชน
มิให้มีการซ่องเสพชนิดลักลอบและมีชู้ และ
2. เพื่อหารายได้บำรุงการกุศลต่างๆจากนั้นโสเภณีก็ได้คลี่คลายขยายตัวเรื่อยมาจนกระทั่งเป็นอยู่อย่างปัจจุบัน
4.คำว่ากระหรี่มีความสอดคล้ององกับผู้หญิงค้าประเวณีอย่างไร
คำว่า "กะหรี่" เป็นคำตลาดหมายถึง หญิงโสเภณี
ตัดทอนและเพี้ยนมาจากคำเต็มว่า "ช็อกกะรี" และคำ "ช็อกกะรี"
นี้ก็เพี้ยนมาจาก "ชอกกาลี" ซึ่งมาจากคำ "โฉกกฬี" ในภาษาฮินดี
แปลว่า เด็กผู้หญิง คู่กับ "โฉกกฬา ที่แปลว่า เด็กผู้ชาย เป็นทอด ๆ คำ
"กะหรี่" ในความหมายว่า โสเภณี
ยังไม่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฉบับใด ๆ แต่ราชบัณฑิตยสถานบันทึกไว้ใน พจนานุกรมคำใหม่ ว่า "กะหรี่ น. โสเภณี
(เป็นคำไม่สุภาพ). ส่วนคำ "ช็อกกะรี" ปรากฏใน พจนานุกรมคำใหม่ เช่นกัน ความว่า
"ช็อกกะรี น. โสเภณี."
5.ลักษณะการหาเลียงชีพของผู้ที่ค้าประเวณี
ส่วนที่ว่า
"ค้าประเวณี" นั้นหมายความว่า หญิงใช้อวัยวะของตนเสมือนหนึ่งสินค้า รับจ้างปลดเปลื้องความใคร่ให้แก่ลูกค้าด้วยการร่วมประเวณีด้วย
ถ้าเป็นแต่นวดให้ผู้ชาย เช่น หญิงตามสถานอาบอบนวด โดยมิได้กระทำชำเรา
แม้จะได้กระทำการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศอยู่บ้าง
ก็มิได้ชื่อว่าเป็นหญิงโสเภณี
6.วิธีการค้าประเวณี
6.1
ยืนรอข้างถนน โดยการยืนรอคอยลูกค้าบริเวณหัวริมถนน และขายบริการทางเพศต่อในบริเวณโรงแรม หรือโรงแรมม่านรูด ในกรุงเทพ มีมากบริเวณ รอบสวนลุมพินีรอบสนามหลวง
ภาพที่
6.2 ผู้ที่ยืนรอลูกค้าบริเวณริมหัวถนน
6.2 อาบอบนวด หรือ ซ่อง เป็นสถานบริการทางเพศโดยตรง
โดยผู้ขายบริการจะนั่งรอภายในสถานบริการและรอลูกค้าเข้ามาเลือก
โดยในสถานบริการจะมีบริการจัดห้องไว้รับรอง ในต่างจังหวัดบางที่ผู้ให้บริการ จะยืนรวมตัวรอบกองไฟ
และมีห้องบริการไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้ามาใช้บริการ
ในประเทศไทยราคาการให้บริการมีตั้งแต่ 50 บาท
จนถึงหลายหมื่นบาท สถานบริการอาบอบนวดมีกระจายในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น ในกรุงเทพมีมากบริเวณถนนพระราม 9 ถนนเพชรบุรี ถนนรัชดาภิเษก
ภาพที่6.3
สถานบริการและรอลูกค้าเข้ามาเลือก โดยในสถานบริการจะมีบริการจัดห้องไว้รับรอง
6.3
สถานบันเทิง คาเฟ่ ร้านคาราโอเกะ สปา หรือร้านตัดผม บางแห่ง มีการบริการพิเศษแอบแฝงเพิ่มเติมสำหรับลูกค้า
ซ่องผิดกฎหมายบางแห่งอาจลักลอบเปิดโดยใช้ธุรกิจอื่นขึ้นบังหน้าเท่านั้น
หรือบางครั้งอาจแอบอ้างตัวว่าเป็นธุรกิจอื่น เช่น นวดแผนโบราณ สปา จัดหาพริตตี้ เป็นต้น
ภาพที่
6.4 สถานที่บริการที่ร้านคาราโอเกะ
6.4
หอพักของผู้ขายบริการ ในหลายประเทศการขายบริการประเภทนี้เป็นประเภทเดียวไม่ผิดกฎหมาย
โดยเป็นที่นิยมใน ประเทศเยอรมนี เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทางผู้ขายบริการจะประกาศโฆษณาตามใบปลิว หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ
6.5
การโทรเรียก โดยลูกค้าติดต่อทางนายหน้า (หรือแมงดา หรือมาม่าซัง) เพื่อเรียกมาใช้บริการทางที่พักของลูกค้า
หรือทางโรงแรมที่เตรียมไว้ ราคาการให้บริการจะแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับสถานที่และชนิด โดยปกติ ผู้ชายที่ให้บริการ จะได้รายได้น้อยกว่าผู้หญิงที่ให้บริการ
ภาพที่6.5 โทรเรียกมามาใช้บริการทางที่พักของลูกค้า
7.กฎหมายของผู้ที่ค้าประเวณี
ในหลายประเทศ
การขายและการซื้อบริการทางเพศถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
แต่กิจการอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องถือว่าถูกกฎหมาย
รวมทั้งการเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการ การทำงานในสถานบริการทางเพศ ในประเทศมุสลิมบางประเทศ มีการลงโทษประหารชีวิตสำหรับผู้ให้บริการทางเพศ ในประเทศไทย การค้าประเวณีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
แต่อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ยอมให้ในสังคมไทยบางส่วน เช่นเดียวกับหลายประเทศในทวีปเอเชีย การเปิดสถานบริการอาบอบนวดในประเทศไทย
ถูกจัดให้อยู่ในส่วนของสถานบริการทั่วไป ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย
โดยการขายบริการทางเพศของผู้ให้บริการถือเป็นการตกลงกันเองระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ
ถือเป็นความเข้าใจกันว่าไม่เกี่ยวข้องกับทางสถานบริการ
โดยประมาณว่ามีผู้ขายบริการทางเพศในประเทศไทยมีประมาณ 130,000 คนในประเทศไทยรวมทั้งเพศชายและเพศหญิง กฎหมายการซื้อและการขายบริการทางเพศมีการแตกต่างกันในหลายประเทศ เช่น ในประเทศสวีเดน การขายบริการทางเพศไม่ผิดกฎหมาย
ในขณะที่การซื้อบริการทางเพศถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายสวีเดน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้ซื้อบริการและผู้จัดการจะถือว่าผิดกฎหมาย
ถ้าผู้ขายบริการอายุระหว่าง 16-18 ปี
และถ้าผู้ขายอายุต่ำกว่า 16 ปีการขายบริการจะผิดกฎหมาย
ภาพที่ 6.6 สถานค้าประเวณีที่ถูกต้องตามกฎหมายสหรัฐอเมริกา
8.การค้าประเวณีในประเทศไทยเรา
ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
16-17 โดยไม่ได้ถูกนำเข้ามาจากชาติตะวันตกตามเรื่องเล่ากัน
การค้าประเวณีในไทยเริ่มเป็นที่แพร่หลายกับชาวตะวันตก
ในช่วงที่มีการติดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับชาวตะวันตก
มีหลักฐานเป็นศัพท์ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียกว่า รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ใน ประมวลกฎหมายตรา 3 ดวง – บทพระไอยการลักษณะผัวเมีย
มีการบัญญัติผู้ค้าประเวณีว่า หญิงนครโสเภณี และสมัยสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสถานประกอบการเรียกว่า โรงหญิงนครโสเภณี โดยทั่วไปมีโคมสีเขียวตั้งข้างหน้า
จึงเรียกกันว่า สำนักโคมเขียว ทั้งนี้ก่อนปีพ.ศ. 2499 การค้าประเวณีไม่ถือว่า ผิดกฎหมาย แต่เริ่ม พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 กำหนดว่าการค้าประเวณีเป็นความผิดอย่างชัดเจน
แต่ในสังคมยุคใหม่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามโดยในช่วงนั้นการค้าประเวณีจะเป็นการลักลอบค้าประเวณี
และปัจจุบันธุรกิจค้าประเวณีในประเทศไทยเป็นธุรกิจแอบแฝง
ภาพที่ 6.7 สถานที่ค้าประเวณีในประเทศไทย
9.ข้อดีของผู้ที่ค้าประเวณี
ในทางดีนั้น
หญิงนครโสเภณีได้ชื่อว่าเป็นผู้ผดุงศีลธรรมและมนุษยธรรมของสังคม กล่าวคือ หญิงพวกนี้เป็นผู้ระบายความต้องการทางเพศของผู้ชายทั้งหลาย
เป็นการป้องกันหรืออย่างน้อยก็ลดจำนวนคดีเกี่ยวกับเพศ เช่น ฉุดคร่าอนาจาร ข่มขืน กระทำชำเรา กับทั้งเป็นการช่วยผดุงความบริสุทธิ์ให้แก่ครอบครัวประชาชนมิให้มีการลักลอบซ่องเสพด้วยการทำชู้
จึงมีผู้เปรียบหญิงนครโสเภณีว่าเป็นป้อมปราการสำหรับป้องกันเกียรติศักดิ์ของครอบครัวอื่น
ๆ มิให้มัวหมอง และสดุดีพวกเธอว่าเป็นผู้เสียสละอุทิศร่างกายและชื่อเสียงเพื่อสาธารณประโยชน์ ออกัสตินแห่งฮิปโป นักบุญผู้หนึ่งแห่งคริสต์ศาสนา กล่าวว่า
ถ้าถอนหญิงนครโสเภณีไปจากสังคมเมื่อใดก็เท่ากับหว่านพืชแห่งตัณหาให้เต็มไปหมดทั้งโลก
สรุปว่า หญิงนครโสเภณีเปรียบเสมือนท่อระบายน้ำโสโครกหรือผู้เก็บกวาดสิ่งปฏิกูล
ทำให้สังคมสะอาดน่าอยู่เสมอ นอกจากนั้น หญิงนครโสเภณียังเป็นเครื่องกลั่นกรองการแต่งงานของคู่สมรสได้อีกด้วย
กลั่นกรองในแง่ที่ว่า ผู้ชายมีทางระบายความต้องการทางเพศของตนกับหญิงนครโสเภณี
เป็นการช่วยให้เขาชะลอการแต่งงานไปได้ในเมื่อฐานะของเขายังไม่พร้อมที่จะสมรส
การสมรสจึงเป็นไปด้วยความรอบคอบ ความพร้อม และความเหมาะสม
ทำให้ชีวิตครอบครัวราบรื่นมั่นคง ไม่ใช่สมรสเพราะการรุนของตัณหา
ซึ่งอาจทำให้ชีวิตสมรสสลายในภายหลังได้ง่าย อนึ่ง
ยังช่วยผ่อนคลายความต้องการของชายที่สมรสแล้ว แต่คู่สมรสมีรสนิยมทางเพศไม่ตรงกัน
เป็นการรักษาชีวิตสมรสของสามีภริยาคู่นั้นให้ดำรงราบรื่นอยู่ได้
10.ข้อเสียของผู้ที่ค้าประเวณี
1) ทำให้มีสถานค้าประเวณีคอยรับซื้อเด็กหญิงมาบังคับเป็นโสเภณี
ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังและดาษดื่นอยู่เวลานี้
ทำให้มีคดีฉุดคร่าล่อลวงหญิงมาขายตามสถานดังกล่าว และทำให้มีบุคคลประเภทแมงดาเป็นกาฝากของสังคม
รวมตลอดทั้งนักเลงคอยก่อความไม่สงบทำผิดกฎหมายอยู่เสมอ
2) ทางด้านตัวหญิงนครโสเภณีเองก็มักจะจุ้นจ้าน เตร็ดเตร่หาลูกค้า
เป็นตัวอย่างที่ไม่ได้แก่กุลสตรีทั้งหลาย
หญิงพวกนี้แม้จะเลิกอาชีพโสเภณีมามีครอบครัวก็ไม่สามารถจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีได้
และยังเป็นแม่พิมพ์ที่เลวของลูกต่อไปด้วย
3) การแพร่เชื้อกามโรคซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกสังคมปราบกันไม่รู้จักจบสิ้น
ตราบเท่าที่ยังมีหญิงนครโสเภณีอยู่ในสังคม
ผลตามมาก็คือนอกจากจะทำให้ประชากรเป็นกามโรคซึ่งจะต้องใช้จ่ายเงินในการเยียวยารักษามากมายแล้ว
ยังทำให้เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นกามโรคเป็นเด็กไม่แข็งแรง บางรายแขนด้วน ตาบอด
ตาเหล่ หรือปากแหว่ง ซึ่งก็เป็นผลมาจากเชื้อกามโรคเป็นส่วนใหญ่
หาใช่เคราะห์กรรมบันดาลไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชากรของประเทศก็ขาดด้อยคุณภาพ
ปัญหาที่ตามมาอีกประการหนึ่ง คือ
การทำแท้งและลูกกำพร้า ด้วยเหตุที่ว่าหญิงพวกนี้คิดแต่จะหาเงิน ไม่มีความปรารถนาจะได้บุตร
เมื่อเกิดมีครรภ์ขึ้นมาก็หาทางทำแท้ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวหญิงนั้นเอง
กับทั้งยังเป็นการผิดกฎหมายและศีลธรรมด้วย รายที่ไม่ทำแท้งหรือทำแท้งไม่สำเร็จ
เด็กก็เกิดมา ทำให้มีคดีฆาตกรรมเด็กและคดีทอดทิ้งเด็ก
เป็นภาระแก่สังคมที่ต้องรับเด็กเหล่านี้มาเลี้ยงเป็นเด็กกำพร้าเป็นจำนวนหลายร้อยหลายพัน
และเด็กเหล่านี้จะเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยร่างกายและมันสมองที่มีคุณภาพนั้นยากที่จะหวังได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก